Tel. 086-366-4434

LED คืออะไร

การทำงานของ LED

   LED (Light Emitting Diode) คืออุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่แปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นแสง โดยการใช้วัสดุที่เรียกว่า
ไดโอด (Diode) ซึ่งเป็นวัสดุที่เมื่อไฟฟ้าไหลผ่านจะส่งออกแสงออกมา แต่งแต่งกับวัสดุที่ใช้ในไดโอด แสงที่สร้างออกมาจะมีสีและคุณภาพต่างกันไป

ประโยชน์ของ LED

  • ประหยัดพลังงาน: LED ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าหลอดไฟแบบทั่วไป ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงานไฟฟ้า
  • อายุการใช้งาน: LED มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากกว่าหลอดไฟธรรมดา ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการซื้อใหม่
  • ความสะดวกสบาย: LED มีความสามารถในการสร้างแสงที่สม่ำเสมอและไม่มีการสะท้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในสถานที่ต่างๆ

ประเภทของ LED

  • LED สีเดียว (Single-color LED): LED ที่สร้างแสงเฉพาะสีเดียว เช่น สีแดง สีเขียว หรือสีฟ้า
  • LED หลายสี (Multi-color LED): LED ที่สามารถสร้างแสงได้ในหลายสี ซึ่งสามารถผสมสีได้ตามความต้องการ เช่น RGB LED ที่สามารถสร้างแสงในสีแดง เขียว และฟ้า
  • LED ที่สามารถปรับความสว่างได้ (Dimmable LED): LED ที่สามารถปรับระดับความสว่างได้ตามความต้องการ ซึ่งช่วยปรับแสงให้เหมาะสมกับสถานการณ์และบรรยากาศ

การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

  • ในบ้านและออกแบบภายใน: LED นำมาใช้ในการตกแต่งภายในบ้านหรือออกแบบภายนอก โดยมีโคมไฟ LED ที่สามารถปรับแสงได้หลากหลายสไตล์
  • ในธุรกิจและอุตสาหกรรม: LED นำมาใช้ในการสร้างแสงสว่างในธุรกิจและอุตสาหกรรม เช่น ในโรงงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า และสถานที่อื่นๆ

การเลือกซื้อ LED

  • คุณภาพ: เลือกซื้อ LED จากแบรนด์ที่มีคุณภาพและมีการรับประกันสินค้า
  • การประหยัดพลังงาน: เลือก LED ที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน โดยค่า Lumen per Watt (lm/W) สูงมากจะช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้มากขึ้น
  • ความสว่างและสี: เลือก LED ที่มีความสว่างและสีที่เหมาะกับการใช้งานและบรรยากาศที่ต้องการ

การใช้ LED ไม่เพียงเพิ่มคุณค่าให้กับสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต เพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย

LUX และ LUMEN คืออะไร

LUX (ลักซ์)

  • ความหมาย: LUX เป็นหน่วยที่ใช้วัดความสว่างที่เข้าถึงผิวหน้า หรือความสว่างที่เราเห็นจริงในสถานที่ที่มีแสงสว่าง
  • การใช้งาน: LUX ใช้ในการวัดความสว่างในสถานที่ต่างๆ เช่น ในบ้าน สำนักงาน หรือภายนอกอาคาร

LUMEN (ลูเมน)

  • ความหมาย: LUMEN เป็นหน่วยที่ใช้วัดปริมาณแสงทั้งหมดที่อุปกรณ์ส่งออก โดยไม่คำนึงถึงพื้นที่ที่แสงส่องออกไป
  • การใช้งาน: LUMEN ใช้ในการวัดคุณสมบัติของหลอดไฟ หรือแหล่งแสงอื่นๆ เพื่อระบุความสว่างที่อุปกรณ์สามารถสร้างขึ้น

ความแตกต่างระหว่าง LUX และ LUMEN

  • การวัด: LUX วัดความสว่างที่เข้าถึงผิวหน้า ในขณะที่ LUMEN วัดปริมาณแสงที่ส่งออกจากแหล่งแสง
  • ความสัมพันธ์: LUX ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ได้รับแสง ในขณะที่ LUMEN ไม่ได้พิจารณาถึงพื้นที่
  • การใช้งาน: LUX มักถูกใช้ในการวัดความสว่างในสถานที่ ในขณะที่ LUMEN มักถูกใช้ในการบอกปริมาณแสงที่อุปกรณ์ส่งออก

การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง LUX และ LUMEN

  • การเลือกการ์ดแสง: เมื่อเลือกการ์ดแสงสำหรับอาจารย์ หรือสถานที่ใดๆ ควรพิจารณาทั้ง LUX และ LUMEN เพื่อให้ได้ความสว่างที่เหมาะสม
  • การเปรียบเทียบหลอดไฟ: เมื่อต้องการเลือกหลอดไฟ ควรดูทั้ง LUX และ LUMEN เพื่อรับรู้ถึงคุณสมบัติของแสงที่ได้รับ
  • การวางแผนการตกแต่ง: ในการวางแผนการตกแต่งห้อง ควรคำนึงถึง LUX และ LUMEN เพื่อให้ได้การสว่างที่เหมาะสมและสวยงาม

การเข้าใจและใช้งานร่วมกันระหว่าง LUX และ LUMEN จะช่วยให้การใช้งานแสงมีประสิทธิภาพและเหมาะสมต่อสถานที่และการใช้งานที่ต้องการครับ การใช้งานอย่างถูกต้องจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

CRI (Color Rendering Index) คืออะไร

  • CRI (Color Rendering Index) เป็นหน่วยที่ใช้วัดความสามารถในการแสดงสีของแสงไฟ เป็นตัวบ่งชี้ถึงความสามารถในการแสดงสีของแสงไฟเมื่อเปรียบเทียบกับแสงแหล่งหลักที่มีคุณภาพสูง
  • CRI มักถูกคำนวณจากการเปรียบเทียบสีของวัตถุที่ถูกไฟไปรกในสภาวะแสงทดแทนกับแสงแหล่งหลักที่มีคุณภาพสูง โดยมีช่วงคะแนนตั้งแต่ 0-100 โดยคะแนนสูงแสดงถึงความสามารถในการแสดงสีที่ดี
  • CRI มีความสำคัญในการเลือกใช้หลอดไฟหรือแหล่งแสงอื่นๆ โดยเฉพาะในสถานที่ที่ต้องการการแสดงสีที่เป็นไปได้สูง เช่น ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ ร้านค้า เป็นต้น
 
 

K (Kelvin) คืออะไร

  • K (Kelvin) เป็นหน่วยที่ใช้ในการวัดสีแสงหรือสีอุณหภูมิ ซึ่งบ่งบอกถึงสีของแสงที่แสดงออกมา โดยค่า K (Kelvin) ที่ต่ำแสดงถึงแสงอุ่น ในขณะที่ค่า K (Kelvin) ที่สูงแสดงถึงแสงเย็น
  • ค่า K (Kelvin) จะบ่งบอกถึงสีของแสงที่แสดงออกมา โดยมีค่าเริ่มต้นที่ประมาณ 2700K สำหรับแสงอุ่นและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงประมาณ 6500K สำหรับแสงเย็น
  • การเลือกใช้ค่า K (Kelvin) ที่เหมาะสมสามารถช่วยให้บรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมมีความเหมาะสม เช่น การใช้แสงอุ่นในห้องนอนหรือห้องพักผ่อน และการใช้แสงเย็นในสถานที่ทำงานหรือห้องที่ต้องการความสดใส

การเข้าใจและใช้งานร่วมกันระหว่าง CRI และ K (Kelvin) จะช่วยให้การเลือกใช้แสงมีประสิทธิภาพและเหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมและการใช้งานที่ต้องการครับ การใช้งานอย่างถูกต้องจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย